ผู้ขายจำนวนมากขายแบบ FBM อยู่แล้ว หรือ ดรอปชิป แต่ไม่รู้ว่า Amazon FBM คืออะไร ขายสินค้าไปเรื่อยๆ หารู้ไหมว่าวิธีที่ทำอยู่นั้นจริงๆแล้วมันดีหรือไม่ดียังไง วันนี้เลยลองสรุปให้ดูกันเลยว่ามีข้อดีข้อเสียอะไรบ้าง และเหมาะกับผู้ขายแบบไหน
ส่วนใครที่เป็นสาย FBA ก็เคยเขียนบทความไว้แล้ว ลองคลิกไปอ่านดู ควรทำ Amazon FBA ดีไหม น่าทำไหม
1.FBM คืออะไร?
FBM ย่อมาจาก Fulfillment By Merchant หมายถึง การที่ผู้ขายต้องเป็นผู้แพ็คสินค้าและจัดส่งสินค้าเอง เมื่่อมีการสั่งซื้อจากลูกค้า ซึ่งต่างจาก FBA ที่ Amazon จะเป็นผู้จัดการให้
2.แล้ว FBM มีข้อดีอะไรบ้าง?
==> ค่าธรรมเนียมถูกกว่าแบบ FBA
เนื่องจากผู้ขายเป็นคนจัดการแพ็คและส่งเอง จึงไม่ต้องเสียค่าธรรมเนียมในส่วนของค่าจัดเก็บที่โกดังหรือค่าจัดการต่างๆ (Fulfillment Fees and Storage Fees) ให้กับทาง Amazon ดังนั้นเมื่อขายสินค้าได้แล้วจึงเสียค่าธรรมเนียมที่น้อยกว่า
==> มีสัดส่วนกำไรที่สูง
สืบเนื่องจากหัวข้อแรกที่ไม่ต้องจ่ายค่าธรรมเนียมที่สูง จึงส่งผลให้เหลือเป็นกำไรที่สูงขึ้น หากมองว่าขายในราคาที่เท่ากันเมื่อเทียบกับการทำแบบ FBA
==> จัดการแพ็คเกจได้เอง ค่อนข้างยืดหยุ่น
เนื่องจากผู้ขายต้องแพ็คส่งเอง ดังนั้นผู้ขายจะแพ็คแบบไหนก็ได้ หากพบวิธีที่แพ็คแล้วจ่ายค่าส่งได้ถูกกว่า ก็สามารถปรับเองได้เลย หากต้องการส่งอะไรเพิ่มเติมให้กับผู้ซื็อก็ทำได้เช่นกัน เช่นการใส่ข้อมูลด้าน Social Media ให้ผู้ซื้อเข้าไปติดตาม ซึ่งเป็นการสร้างฐานลูกค้าภายนอก Amazon ได้ แต่ต้องทำให้เนียนอย่าให้ Amazon รู้ เพราะอาจจะผิดกฏ
==> ผู้ขายควบคุมสต็อคหรือ Inventory ได้เอง
เราสามารถจะเพิ่มจะลดปริมาณสินค้าในโกดังเท่าไหร่ก็ได้ จัดการได้ง่ายกว่า FBA บางสินค้าขายดีเราก็แค่หามาเพิ่ม อันไหนขายไม่ดีก็อาจจะเลิกขายได้ง่ายๆ แต่ถ้าส่งไปสต็อคแบบ FBA แล้ว ปริมาณสินค้าที่อยู่ในโกดัง Amazon ก็จะถูกควบคุมโดย Amazon หากต้องการเพิ่มหรือลดจำนวน ก็ต้องเสียเวลาจัดการพอสมควร และมีค่าใช้จ่ายในการจัดการ
==> เริ่มได้ง่ายกว่า FBA
เปิดร้านเสร็จก็โพสสินค้าลงขายได้เลย หากมีสินค้าที่ต้องการจะขายอยู่แล้ว ต่างจาก FBA ที่ต้องจัดการเตรียมส่งไปเก็บที่โกดัง Amazon ก่อน
3.แล้ว FBM มีข้อเสียอะไรบ้าง?
==> ขายสู้ FBA ไม่ได้
อันนี้ถือเป็นข้อด้วยใหญ่หลวง เพราะเป็นธรรมดาที่ Amazon จะให้ความสำคัญกับ FBA มากกว่าและดันให้สินค้าที่ขายแบบ FBA ได้ขายก่อน เพราะ Amazon จะได้ส่วนแบ่งมากกว่า
==> ไม่ค่อยมีเวลาทำอย่างอื่น เพราะต้องจัดการออเดอร์เอง
ใครที่อยากเป็นสายที่ขายแบบชิวๆก็ยากหน่อย เพราะเมื่อมีออเดอร์ ก็ต้องจัดการแพ็คเอง เตรียมส่งเอง ตอบลูกค้า หรือจัดการเรื่องคืนสินค้าเอง แทบทุกอย่างต้องดำเนินการเอง ทำให้ไม่มีเวลาชิวๆไปทำอย่างอื่น ซึ่งต่างจาก FBA เมื่่อส่งถึงโกดังแล้ว ก็นอนรอรับเงินเลยก็ยังทำได้
==> ไม่ค่อยมีอิสระเรื่องสถานที่ทำงาน
สืบเนื่องจากข้อที่แล้ว เนื่องจากต้องจัดการทุกอย่างเอง จะไปเที่ยว จะเปลี่ยนสถานที่ทำงานชั่วคราวก็ต้องคิดหนัก โดยเฉพาะหากไม่มีทีมงานคอยช่วยก็ยากมากๆ ต่างจากคนที่ทำ FBA ส่งเดือนละครั้ัง ที่เหลือเที่ยวสัก 3 อาทิตย์ก็ยังทำได้เลย ค่อนข้างมีอิสระ
==> ไม่ใช่เป้าหมายของผู้ซื้อที่เป็นสมาชิก Prime
ถือว่าเสียหายค่อนข้างมาก เพราะผู้ซื้อจำนวนมากบน Amazon เป็นสมาชิกแบบ Prime ชอบการส่งแบบฟรีและแบบด่วน 1-2 วัน ผมเคยพูดไปบ่อยๆว่าคนกลุ่มนี้สิ่งที่เขาทำเวลาซึ้อคือ เขาจะกรองเอาเฉพาะสินค้า FBA เท่านั้น ส่งผลให้สินค้าที่เป็น FBM ต่อให้อยู่หน้าแรก เขาก็จะมองไม่เห็น หรือเห็นก็อาจจะไม่ซื้อเพราะไม่มีคำว่า Prime อยู่หน้าสินค้า คนกลุ่มนี้ยอมเสียค่าสมาชิกรายปี ดังนั้นเขาย่อมจะตักตวงผลประโยชน์ของ Prime
4.สรุปสั้นๆ FBM เหมาะกับผู้ขายแบบไหน
==> เหมาะกับมือใหม่เริ่มต้น ขายแบบเรื่อยๆ
==> เหมาะกับคนที่มีเวลาแพ็คเอง จัดการออเดอร์เอง
==> เหมาะกับสินค้าที่กำไรต่ำ เพราะเสียค่าธรรมเนียมต่ำ
อ่านจบก็ลองตัดสินใจดูครับว่าดีกว่าหรือแย่กว่า FBA ไม่มีผิดไม่มีถูก ขึ้นอยู่กับว่าเหมาะกับตัวเราหรือไม่อย่างไร